ท่องถิ่นซามูไรที่ฮากิ
ย้อนไปสมัยเอโดะ (1603-1867) เป็นเมืองฮากิ (Hagi) แห่งนี้ถือเป็นเมืองหลวงของตระกูลโมริ (Mori Clan) หนึ่งในตระกูลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในช่วงยุคศักดินา ขุนนางโมริปกครองเมืองยะมะงุชิ (สมัยก่อนรู้จักกันในชื่อ Choshu) มานานกว่า 250 ปี และมีบทบาทสำคัญเป็นในยุคการฟื้นฟูเมจิในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 และเป็นเมืองแห่งซามูไรมีชื่อหลายคน
คฤหาสน์คิคูยะ
การเดินทางท่องเที่ยวญี่ปุ่นภายในตัวเมืองฮากิ สามารถใช้บริการรถ Hagi Loop-line Bus: Hagi Junkan Ma-Ru Bus ได้ สถานที่ท่องเที่ยวที่อยากแนะนำที่แรกเลยคือ ย่านเมืองเก่า ดังทีกล่าวไว้ในตอนต้น บริเวณนี้เราจะเห็นสภาพบ้านเรือน ถนนหนทางที่ยังคงสภาพเดิม ด้วยเพราะเมืองฮากิสามารถรอดพ้นจากภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งสำคัญตั้งแต่สมัยเอโดะ ผังเมืองดั้งเดิมจึงยังคงความสวยงามเช่นเดิม จนได้รับการการันตีว่าเป็น 1 ใน ถนน 100 สายที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น เราจะเห็นว่าผนังสีขาวจากคฤหัสน์ของอดีตซามูไรและพ่อค้าเรียงรายอย่างสวยงาม คฤหาสน์ที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาที่อยู่อาศัยเก่าในเมืองนี้คือ คฤหาสน์คิคูยะ (Kikuya Residence) ของครอบครัวคิคูยะ ซึ่งเป็นซามูไรที่หันมาทำธุรกิจการค้า และได้รับการยกย่องจากประชาชน ตัวอาคารมีอายุกว่า 350 ปี สิ่งที่ดูน่าทึ่งและประทับใจที่สุดคงเป็นบานประตูที่สามารถเปิดกว้างให้เห็นสวนด้านนอกที่จัดอย่างสวยงาม ค่าเข้าชมไม่แพงมากนัก ส่วนคฤหาสน์คูโบตะของครอบครัวที่มีอาชีพเกี่ยวกับชุดกิโมโนและเหล้าสาเกก็น่าสนใจ อายุก็เกือบ 200 ปีเลยทีเดียว ที่สังเกตได้คือ คฤหาสน์แทบทุกหลัง ด้านในของแต่ละห้องสามารถปรับเปลี่ยนประตูบานเลื่อนให้เปิดปิดเชื่อมต่อกันเป็นห้องใหญ่ หรือเปิดออกสู่สวนด้านนอกได้ บริเวณส่วนที่นักท่องเที่ยวเดินชมกันนั้นเป็นส่วนด้านนอกเขตปราสาทซึ่งเป็นที่พักของเหล่าซามูไร และพ่อค้าวาณิชต่างๆ
คฤหาสน์คูโบตะ
ท่านชินชะกุ ทะกะชุงิ (Shinsaku Takasugi)
บ้านพักของท่านชินชะกุ ทะกะชุงิ (Shinsaku Takasugi)
นอกจากโซนเมืองเก่าของซามูไรยุคศักดินาแล้วอีกโซนหนึ่งของเมืองคือโซนมรดกโลกด้านการปฏิวัติอุตสาหกรรมก่อนยุคเมจิ เตาหลอมเหล็กกล้า (Hagi Reverberatory Furnace) เป็นเตาที่สร้างขึ้นมาครั้งแรกเลียนแบบเตาของชาติตะวันตก จากเดิมที่ใช้เตาเผากันแบบญี่ปุ่นเพื่อให้ผลิตเหล็กกล้าได้มากขึ้น แต่เตาอันนี้ไม่ได้ถูกใช้งานจริงมีการสร้างเตาจริงคล้ายแบบนี้อีกแห่งหนึ่ง ส่งผลให้อุตสาหกรรมผลิตเหล็กของญี่ปุ่นเจริญรุดหน้าไปมาก สถานที่สอง คือ อู่ต่อเรือเดินสมุทร ตรงบริเวณอู่ต่อเรืออาจจะดูไม่ค่อยมีอะไรมากนัก มีเพียงกองหินและที่ผูกเรือขนาดใหญ่อยู่ริมท่า แต่ที่นี่มีประวัติศาสตร์ที่น่าค้นหามากมาย เราจะเห็นเจ้าหน้าที่ของทางญี่ปุ่นกำลังขุดเจาะพื้นที่บนลานโล่งบริเวณใกล้เคียงเพื่อค้นหาอดีตซากอู่เรือเก่าที่โตกุกาวะโยชิโนบุ โชกุนลำดับที่ 15 ได้สร้างอู่ต่อเรือเอบิสึกาฮาระขึ้นเพื่อแสดงศักยภาพคล้ายประกาศก้องว่าไม่ยินยอมต่อการรุกราน ตลอดแนวท่าเรือจะมีป้ายแสดงเรื่องราวประวัติความเป็นมาให้นักท่องเที่ยวได้อ่านเพื่อทำความรู้จักกับสถานที่แห่งนี้ให้มากขึ้น สถานที่สามคือ โรงผลิตเหล็กกล้า ซึ่งอยู่ห่างออกไปไกลเกินเวลาที่ฉันจะแวะไปได้ ขอข้ามไปที่โรงเรียนของท่านโยชิดะ โชอิน ซามูไรผู้เป็นนักปราชญ์และนักวิชาการที่เคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ท่านโชอินสอนหลักคำสอนของเม่งจื้อ และคำสอนของนักปรัชญาอื่นๆแก่ลูกศิษย์ และสอนให้ลูกศิษย์ออกไปเรียนรู้วิทยาการสมัยใหม่ ในช่วงบั้นปลายของชีวิตที่เขาถูกกักบริเวณภายในบ้านพักของตนเอง และเสียชีวิตในขณะที่อายุได้ 30 ปี ลูกศิษย์ของเขาก็คือผู้บุกเบิกการสร้างความทันสมัยให้กับญี่ปุ่น อย่างเช่น ท่านชินชะกุ ทะกะชุงิ (Shinsaku Takasugi) ที่เห็นรูปปั้นของท่านในย่านเมืองเก่านั่นเอง